วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2552

แนะนำวิธีเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี ข้อความ

ข้อ : แนะนำวิธีเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ดี ข้อความ :
เทคนิคที่เคยใช้และอยากแนะนำคือ 1) ท่องวันละ 3-4 คำก็พอแล้ว แค่นี้ถือว่ามากแล้ว การท่องศัพท์นั้นอย่าท่องเพียงแค่คำและความหมาย ต้องท่องข้อมูลของคำศัพท์ให้ครบทุกอย่างเกี่ยวกับคำๆนั้น ได้แก่ การสะกดคำ การออกเสียง (สำคัญมาก เพราะคำภาาษอังกฤษหลายคำออกเสียงไม่ตรงกับการสะกดที่เราเห็นหรือนึกคิดไว้ คำที่คนไทยมักออกผิดๆเช่น southern อ่านออกเสียงทำนองว่า ซัทเทิ้น ไม่ใช่เซ้าเทิ้น) รวมถึงตำแหน่งการเน้นเสียงหนัก (stress) เพราะถ้า stress ผิดก็ให้ความหมายผิด เช่น Jack is important. VS Jack is impotent. ทั้งสองคำออกเสียงคล้ายกัน ต่างกันตรงที่ stress (เสียง r ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่สำคัญเพราะคนอังกฤษไม่ออกเสียง r ที่ท้ายพยางค์) คำแรกเน้นที่พยางค์ที่ 2 คำที่สองเน้นที่พยางค์ที่ 1 ประโยคแรกแปลว่า เขาเป็นคนสำคัญ ประโยคหลัง แปลว่า เขามีปัญหาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์เพราะนกเขาไม่ขัน (อวัยวะเพศไม่แข็งตัว) นอกจากนี้เมื่อรูปคำเปลี่ยนไป เช่นจากนามเป็นกริยาหรือคุณศัพท์ ตำแหน่งการ stress จะเปลี่ยนไปด้วย นอกจากนี้ก็ต้องท่องข้อมูลทางไวยากรณ์ของคำศัพท์ เช่น ประเภทของคำ (คำนาม/กริยา/คุณศัพท์) ถ้าเป็นคำนาม เป็นนามนับได้หรือนับไม่ได้ ถ้านับได้ มีรูปพหูพจน์คืออะไร คำจำนวนมากที่มาจากภาษาต่างประเทศ มีรูปพหูพจน์ แตกต่างจากที่เราเห็นด้วยทั่วไป เช่น stimulus-stimuli (สิ่งกระตุ้น สิ่งเร้าใจ) curriculum-curricular (หลักสูตร) คำพวกนี้ไม่ผันรูปพหูพจน์ตามกฏที่เราเรียน และต้องรู้การใช้คำคู่กันด้วย เช่น คำคุณศัพท์ตัวนี้ ใช้คู่กับคำบุพบทตัวไหน tolerant (อดทน) ใช้คู่กับ towards / of อีกประเด็นคือ พยายามสังเกตการใช้คำในตัวอย่างประโยคด้วย จากพจนานุกรมฉบับดีๆ จะช่วยทำให้เราเรียนรู้การใช้ศัพท์ได้ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าแค่นี้ก็มีข้อมูลที่ต้องจำเยอะมากแล้วสำหรับคำหนึ่งคำ ซึ่งน้องๆอาจจะท่องคำที่มีความหมายเหมือนหรือตรงกันข้ามประกอบด้วยก็จะเพิ่มพูมความรู้ศัพท์เราได้เพิ่มขึ้น 2) แนะนำว่าท่องวัน 3 หรือ 4 คำก็พอ ท่องทุกวัน เมื่อครบ 1 สัปดาห์ ก็ควรทบทวน 1 ครั้ง ต่อ สัปดาห์ ครบเดือนก็ทบทวนครั้งใหญ่สักรอบ น้องๆจะได้ศัพท์ใหม่ๆ ประมาณ 20-30 คำ/สัปดาห์ ซึ่งเวลาเรากลับมาทบทวนครั้งหนึ่งๆ ก็ถือว่าเป็นจำนวนมากแล้วครับ ไม่ควรท่องมากเกินกว่านี้ (สำหรับคนที่มีความจำปานกลาง) เพราะถ้าท่องมาก เวลากลับมาทบทวนก็ต้องทบทวนมากขึ้น โอกาสลืมคำเก่าๆที่ท่องไปแล้ว ก็มีมากตามไปด้วย ที่สำคัญ ต้องกลับมาทบทวนคำศัพท์บ่อยๆ เพราะคำยากๆบางคำที่เราอาจจะไม่มีโอกาสใช้เลยในการพูดหรือเขียนของเรา และเมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะลืมคำๆนั้น แต่อาจมีโอกาสพบเจอคำๆนั้นในการฟังหรือการอ่านในภายหลัง 3) การท่องศัพท์แค่นี้ไม่ถือว่าเสียเวลามากมาย อาจใช้เวลาเพียงแค่ 5-10 นาทีต่อวันซึ่งทำได้ในช่วงก่อนเข้านอน หรือระหว่างทำธุระในห้องน้ำ หรือระหว่างเดินทางในรถ คนเราหลายคนเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระหรือนินทาชาวบ้านได้เป็นชั่วโมง แล้วแค่ท่องศัพท์วันละ 5-10 นาทีแค่นี้ทำไมจะทำให้ตัวเองบ้างไม่ได้ 4) แนะนำให้หาสมุดเล่มเล็กๆที่พกพาไปไหนมาไหนได้ง่ายครับ สำหรับจดศัพท์และข้อมูลศัพท์ เผื่อฆ่าเวลาระหว่างการเดินทางหรือรอคิวหรืออะไรก็ตาม ก็จะหยิบมาท่องศัพท์ได้ง่าย 5) ไม่ต้องแบ่งแยกว่าศัพท์ตัวไหนควรรู้หรือไม่ควรรู้ ส่วนตัวเรียนรู้เองตั้งแต่อยู่มัธยมว่า โรคไส้ติ่งอักเสบ และการผ่าตัดไส้ติ่ง (appendectomy) ภาษาอังกฤษใช้คำว่าอะไร จำได้ว่าวันหนึ่งเมื่ออยู่ปี 2 มีโอกาสได้ใช้คำๆนี้เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะเพื่อนคนหนึ่งต้องผ่าตัดไส้ติ่งและมาสอบไม่ได้ ซึ่งก็โชคดีที่สามารถบอกเหตุผลกรรมการคุมสอบซึ่งเป็นอาจารย์ฝรั่งได้ อีกครั้งคือ ครั้งแรกที่เดินทางไปต่างประเทศ และไปลำพังคนเดียว โชคร้ายที่ป่วยกระทันหันและต้องเข้า รพ ที่ต่างประเทศ โชคดีที่มีความรู้ด้านศัพท์ในบริบททางการแพทย์ติดตัวบ้าง ทำให้ตัวเองสามารถพูดคุยกับแพทย์และพยาบาลได้อย่างไม่ลำบากเกี่ยวกับเรื่องอาการเจ็บป่วย และยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นตรงที่ เนื่องจากแพทย์และพยาบาลเห็นว่าพูดภาษาอังกฤษได้ดี อาจารย์แพทย์ขออนุญาตผมให้นศ แพทย์ของเขามาสัมภาษณ์ผมเพื่อศึกษาอาการเจ็บป่วยของผม ทั้งนี้คือผลจากการสะสมความรู้ในอดีตและสามารถนำมาใช้ได้ทันทีในเหตุการณ์บางอย่างที่นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้ใช้จาก : Cantabrigian & Oxonian - 10/01/2006 19:13 ว่าไง เห็นด้วยมั้ย:

ที่มา http://board.dserver.org/h/hahaed/00006043.html

ไม่มีความคิดเห็น: